ความหวังนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเขาได้เห็นภาพที่ไม่มีวันลืม นั่นคือภาพของกลุ่มนักปั่นจาก Hands Across the Water ปั่นจักรยานเป็นระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร เพื่อระดมทุนให้กับเด็กๆ ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า…มีคนเชื่อมั่นในตัวผม” ฟ้าเพชรเล่า “ช่วงเวลานั้นยังคงอยู่ในใจผมเสมอ มันย้ำเตือนผมว่าชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ”
และมันก็เป็นเช่นนั้น
จากวันนั้น ฟ้าเพชรได้รับทั้งโอกาสทางการศึกษา ทักษะชีวิต และโอกาสอีกมากมายที่เขาเคยคิดว่าคงไม่มีวันเอื้อมถึง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือเขาได้รับความมั่นใจ เป้าหมาย และความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
“ไม่ใช่แค่บางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ทุกอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไปเลยครับ” เขาเล่า “ผมเข้มแข็งขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และมุ่งมั่นกว่าที่เคยเป็น Hands และบ้านธารน้ำใจทำให้ผมรู้ว่า ‘ตัวผมก็มีความหมาย’”
หลายปีต่อมา ฟ้าเพชรได้กลับมาอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ในฐานะคนหนุ่มที่พร้อมจะเป็น “ผู้ให้” วันนี้ เขาได้กลับมาช่วยดูแลน้องๆ รุ่นต่อไปที่บ้านธารน้ำใจ เพื่อส่งต่อความรักและความเชื่อมั่นแบบเดียวกันกับที่เขาเคยได้รับ
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เป็น ‘ผู้ให้’ เพราะในวัยเด็ก ผมแทบไม่มีอะไรเลย แต่ในวันนี้ ผมได้กลับมาเพื่อมอบสิ่งดีๆ เท่าที่ผมจะทำได้ และมันมีความหมายกับผมมากครับ”
สำหรับฟ้าเพชร Hands และบ้านธารน้ำใจ ไม่ใช่แค่องค์กร แต่คือ “ครอบครัว” และคำว่าครอบครัวสำหรับเขานั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
“ครอบครัวไม่ได้หมายถึงแค่คนที่มีสายเลือดเดียวกัน แต่คือคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวเรา คือคนที่เดินเคียงข้างเราในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ และไม่เคยทอดทิ้งเราไปไหน ซึ่งผมได้พบเจอทั้งหมดนั้น…ที่นี่ครับ”
หนึ่งในความทรงจำที่ล้ำค่าที่สุดของเขา คือการได้เป็นส่วนหนึ่งในทริปปั่นจักรยานการกุศลของ Hands ในตอนที่ยังเป็นเด็ก การได้เห็นพี่ๆ นักปั่นสู้กับความเหนื่อยล้าเพื่อเป้าหมายที่สำคัญกับชีวิตของเขา เป็นภาพที่น่าประทับใจและไม่มีวันลืม
“มันทำให้ผมเห็นว่า Hands ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากความรักและความเชื่อมั่นจริงๆ ทุกครั้งที่ผมเห็นคุณปีเตอร์พูด ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจและหัวใจของเขาเสมอ และมันก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากทำแบบนั้นเช่นกันครับ”
ความฝันของฟ้าเพชรในวันนี้ คือการทำให้สถานที่ที่เคยถูกเรียกว่า ‘บ้านเด็กกำพร้า’ กลายเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน เสียงหัวเราะ ความรัก และความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งอย่างแท้จริง
“ผมอยากให้เด็กๆ ทุกคนไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป แต่อยากให้พวกเขารู้สึกว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’ ที่แท้จริงของพวกเขาครับ”
เขาหวังว่า Hands Across the Water จะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยๆ ปีในอนาคต
“เพราะไม่มีเด็กคนไหนที่ควรต้องเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว และ Hands คือเหตุผลที่ทำให้พวกเราหลายคน…ไม่ได้เติบโตมาแบบนั้นครับ”



